วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การปฏิสนธิตามหลักพระอภิธรรมปิฎก




พระอาจารย์เจ้า  ผู้ชื่อว่าโรคามฤตินทร์  ผู้เป็นอาจารย์ของชีวกโกมารภัจจ์  และท่านมหาเถรผู้ชื่อว่าตำแย  ได้แต่งคัมภีร์ไว้เพื่อให้แพทย์ทั้งหลายรู้ไว้สืบต่อไป  ดังจะกล่าวต่อไปนี้
                สัตว์ทั้งหลายเมื่อจะตั้งมูลปฏิสนธินั้น  ต้องประกอบพร้อมด้วยบิดามารดาและธาตุทั้ง ๔ คือ  ปถวีธาตุ ๒๐ อาโปธาตุ  ๑๒ วาโยธาตุ ๖ เตโชธาตุ ๔ ระคนกันเข้ามิได้วิปริต  แล้วตามโลหิตแห่งมารดาก็บังเกิดตั้งขึ้นเป็นอนุโลมปฏิสนธิ  เมื่อสัตว์จะปฏิสนธินั้นท่านกล่าวว่า  สุจุมังปะระมานูละเอียดนัก  เปรียบด้วยขนทรายจามจุรีเส้นหนึ่ง เอามาชุบน้ำมันงาที่ใสนั้น  แล้วเอามาสลัดเสียให้ได้ ๗ ครั้ง  เหลือติดอยู่ที่ปลายขนทรายจามจุรีมากน้อยเท่าใด  อันมูลปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งหลาย  สุขุมละเอียดดุจดังนั้น  เมื่อตั้งขึ้นในครรภ์มารดาแล้วละลายไปได้  วันละ ๗ ครั้ง  กว่าจะตั้งขึ้นได้เป็นอันยากนัก  เมื่อตั้งขึ้นได้แล้ว ๗ วัน  ก็บังเกิดเป็ปฐมกะละละ  เรียกว่าไชยเภท  คือมีระดูล้างหน้าทีหนึ่งก็รู้ว่าครรภ์ตั้งขึ้น  เมื่อครรรภ์ตั้งขึ้นแล้วมิได้วิปริตครบ ๗ วัน  ก็ข้นเข้าดังน้ำล้างเนื้อ  ต่อไปอีก ๗ วัน ก็เป็นชิ้นเนื้อ  ต่อไปอีก ๗ วันก็เป็นสัณฐานดังไข่งู  ต่อไปอีก ๗ วันก็แตกออกเป็นปัญจสาขา ๕ แห่ง  คือศรีษะ ๑  มือ ๒  จึงเป็น ๕ ต่อไปอีกวัน ก็เกิดเกศา  โลมา  นขา  ทันตา  ลำดับกับไปดังนี้  ในขณะครรภ์ตั้งขึ้นได้หนึ่งเดือนกับ ๑๒ วันนั้น  โลหิตจึงบังเกิดเวียนเข้าเป็นตานกยูง  ที่หัวใจเป็นเครื่องรับดวงจิตรวิญญาณ  ถ้าหญิงเวียนซ้าย  ถ้าชายเวียนขวา  แต่มิได้ปรากฏออกมา  เมื่อครรภ์ถ้วนไตรมาศแล้ว  โลหิตนั้นก็แตกลงไปตามปัญจสาขา  เมื่อได้ ๔ เดือนจึงตั้งอาการ ๓๒ ขึ้น  บังเกิดตาแลหน้าผากก่อน  สิ่งทั้งปวงบังเกิดเป็นอันดับกันไป เมื่อครรภ์ได้ ๕ เดือน จึงมีจิตรแลเบญจขันธ์พร้อมรูปักขันโธ เมื่อตั้งเป็นรูปขันธ์ขึ้นแล้ว  วิญญาณักขันโธ  ก็มีวิญญาณขันธ์รู้จักร้อนแลเย็น  ถ้าแลมารดาบริโภคอาหารที่เผ็ดร้อนเข้าไปเมื่อใด  ก็ทำให้ร้อนทุรนทุรายดิ้นเสือกไปมา เวทนากขันโธ เวทนาขันธ์ก็เกิดขึ้นตามกัน ทารกอยู่ในท้องของมารดานั้น  ลำบากทุกขเวทนาดุจสัตว์ในนรก  นั่งยองๆ กอดเข่าเอามือกำไว้ใต้คาง  ผินหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดา  ผินหลังออกข้างนาภี เหมือนดังลูกวานรอันนั่งอยู่ในโพรงไม้นั้น นั่งทับกระเพาะอาหารเก่า อาหารใหม่ตั้งอยู่บนศรีษะ น้ำอาหารนั้นก็เกรอะซาบลงไปทางกระหม่อม  เพราะว่าทารกอยู่ในครรภ์นั้นกระหม่อมเปิด  เมื่อมารดาบริโภคสิ่งอันใดที่ควรเข้าไปได้แล้วก็ซึมซาบออกจากกระเพาะข้าวก็เลื่อนลงไปในกระหม่อม  จึงได้รับประทานอาหารของมารดาก็ชุ่มชื่นชูกำลังเป็นปกติ ถ้ามารดามิได้บริโภคอาหารและรสอาหารมิได้ซาบลงไป  ทากรกนั้นก็มิได้รับรสอาหาร จึงทุรนทุรายกระวนกระวายระส่ำระสายดิ้นรนต่างๆ  อันนี้มีแจ้งอยู่ในคัมภีร์จตุราริยสัจจโน้นแล้ว  ในคัมภีร์ปฐมจินดานี้  พระอาจารย์ท่านกล่าวไว้แต่สังเขป  พอให้แพทย์ทั้งหลายทราบเป็นเค้าเพื่อแก้ไขโรคต่อไป  อนึ่งโสดสัตว์จะมาปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น  ท่านกล่าวไว้ว่า  ถ้ามารดาอยากมัจฉะมังษาเนื้อปลาและสิ่งของอันคาว  ท่านว่าสัตว์นรกมาปฏิสนธิ  ถ้ามารดาอยากสิ่งอันเปรี้ยวแลขมท่านว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธินั้นมาจากป่าหิมพานต์ ถ้ามารดาอยาก น้าผึ้ง น้าอ้อย น้าตาลท่านว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธิมาแต่สวรรค์ ถ้ามารดาอยากผลไม้ทั้งปวง  ท่านว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธินั้น มาแต่ดิรัจฉาน  ถ้ามารดาอยากกินดิน  ท่านว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธินั้นมาแต่พรหมโลก  ถ้ามารดาอยากกินสิ่งที่เผ็ดแลร้อน  ท่านว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธินั้นมาแต่มนุษย์  ดังนี้

การปฏิสนธิตามหลักพระอภิธรรมปีฎก
                เมื่อปฏิสนธิเกิดขึ้นครั้งแรกนั้น  รูปที่ปรากฏ  คือ  เป็นน้ำกลละประมาณเท่าแมลงวันกินอิ่ม  หรือเท่าน้ำมันที่ติดอยู่ปลายขนจามจุรี  เวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์  น้ำกลละเปลี่ยนเป็นอัมพุทะคล้ายน้ำล้างเนื้อ  เวลาผ่านไปอีก ๑ สัปดาห์  เจริญขึ้นเป็นเปสิ  คล้ายน้ำเมือก  ผ่านไปอีก ๑ สัปดาห์  กลายเป็นฆนะ  ก้อนเนื้อ  ผ่านไปอีก ๑ สัปดาห์  เกิดเป็นปัญจสาขา  คือ ศรีษะ ๑ ขา ๒ แขน ๒  ต่อไปเป็นปริปากเจริญขึ้นจนมีศรีษะ  แขน ขา เป็นรูปร่างขึ้น  รวมเวลา ๙ สัปดาห์  ก็เกิดจักขาทิ  มีตา  จมูก  ปากขึ้น  ต่อไปอีก ๙ สัปดาห์  ก็มีผม  ขน  เล็บ  จนบริบูรณ์ด้วยอาการ ๓๒ ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ๙ เดือน ๒๙ วัน  หรือ ๑๐ เดือน  ก็คลอดออกมา  เว้นแต่จะมีเหตุอื่นมาแทรกแซง  การคลอดอาจผิดไปจากกำหนดนี้ก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอความกรุณาแสดงความคิดเห็นหรือฝากรูปภาพด้วยสำนึกความเป็นมนุษย์ที่ดี
และโปรดปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ขอบคุณมากครับ